มีครอบครัวจำนวนไม่น้อยเสียเงินไปกับค่าแอร์ที่สูงลิ่วแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ในแต่ละเดือน เราเช่ือว่าคุณเคยประสบปัญหานี้มาแล้วและเป็นไปได้มากในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนชื้น จะหน้าร้อนหรือหน้าฝนก็อบอ้าวเป็นธรรมดา เป็นเหตุให้เราต้องลุกไปกดเปิดสวิตซ์แอร์อยู่บ่อยครั้ง วันนี้ Enrich.Living เลยนำเคล็ดลับประหยัดค่าไฟมาฝากทุกคนกันค่ะ เพื่อให้คุณไม่ต้องเสียเงินไปโดยใช่เหตุ
1. เลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่
อย่างที่บอกไปข้างต้นค่ะ เราสามารถวางแผนการประหยัดค่าแอร์ที่กินไฟเป็นอันดับต้นๆ ได้จากการเลือก ขนาด BTU ของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้สอย เพราะหาก BTU สูงเกินจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย หรือหาก BTU ต่ำเกินก็จะทำให้แอร์ทำงานหนัก ฉะนั้นเพื่อให้แอร์ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
*เหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานสูงไม่เกิน 3 เมตร*
พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU แอร์ที่เหมาะสม
ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร
ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร
ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร
ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร
เช่น ห้องนอนขนาด 35 ตร.ม. ควรเลือกซื้อแอร์ขนาดประมาณ 25,000 BTU เป็นต้น
2. เลือกแอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5
สังเกตฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ออกโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อจะซื้อเครื่องปรับอากาศ โดยมีแบบ เบอร์ 5 ธรรมดาไม่มีดาว, เบอร์ 5 ★, เบอร์ 5 ★★ และ เบอร์ 5 ★★★ ยิ่งดาวเยอะจะยิ่งมีประสิทธิภาพประหยัดไฟมากขึ้น โดยแต่ละระดับสามารถประหยัดค่าไฟได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 – 10 เปอร์เซ็นต์
3. ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในบริเวณที่เหมาะสม
เมื่อเลือกเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมได้แล้วการติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ในบริเวณที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน คอมเพรสเซอร์ คือที่ระบายความร้อนของแอร์ ควรเลือกตำแหน่งติดตั้งในบริเวณที่ไม่โดนแดดโดยตรง อากาศถ่ายเทสะดวกและควรตั้งห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร
4. ตรวจเช็คสภาพแอร์อย่างสม่ำเสมอ
ไม่ควรปล่อยให้แอร์สกปรก ควรล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้งหรือทุกๆ 6 เดือนครั้ง เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคแล้ว เมื่อมีฝุ่นจับบริเวณคอนเดนซิ่งยูนิตมากจะยิ่งทำให้แอร์ทำงานหนัก ที่สำคัญควรหมั่นเติมน้ำยาแอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยแอร์ที่มีอายุการใช้งานนานเกิน 15 ปี ควรปลดระวางและซื้อเครื่องใหม่ เพราะจะช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องปัญหาการซ่อมบำรุงต่างๆ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้มากทีเดียว
5. ให้อากาศถ่ายเทก่อนเปิดแอร์
ระบายความร้อนออกจากห้องก่อนเปิดแอร์ อย่างการเปิดหน้าต่าง หรือประตูทิ้งไว้ก่อนประมาณ 15 นาที รวมถึงการเปิดพัดลมช่วยขณะเปิดแอร์ในตอนต้น นอกจากจะช่วยให้แอร์ทำงานน้อยลงยังช่วยลดความร้อนในห้อง ลดกลิ่นอับ และลดเชื้อโรคภายในห้องได้อีกด้วย
6. เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม
หลายคนอยากให้แอร์เย็นเร็วขึ้น จึงปรับอุณหภูมิให้ต่ำมากๆ ที่ 23-24 องศา นั้นเป็นความเชื่อที่ผิดเพราะเป็นการเร่งให้แอร์ทำงานหนักขึ้น วิธีที่ดีควรเปิดพัดลมควบคู่ไปแทน ที่ 25-26 องศา จะสามารถประหยัดค่าไฟได้ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์
7. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
เมื่ออุณหภูมิร้อนเจอกันความเย็น แอร์ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มความร้อนภายในห้อง เช่น การใช้เตารีดผ้า การหุ้งอาหารภายในห้อง
8. หลีกเลี่ยงการเพิ่มความชื้นในห้อง
สำหรับใครที่ชอบนำผ้าชื้นมาผึ่งในห้องแอร์ ปลูกต้นไม้ และมีห้องน้ำในตัว คุณต้องทำใจเรื่องค่าไฟที่สูงขึ้นด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่ขัดกับระบบทำงานของแอร์ ที่นอกจากให้ความเย็นแล้วยังทำให้อากาศภายในห้องแห้งนั้นเอง หากเป็นสิ่งที่คุณเลี่ยงไม่ได้ การปิดประตูห้องน้ำให้สนิทระหว่างเปิดแอร์จะช่วยประหยัดค่าไฟได้